เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ มี.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกนี่ เห็นไหม โลกธรรม ๘ เราคิดเราหวังอะไรสิ่งใดให้เขาปรารถนาตามความหวัง เป็นไปไม่ได้หรอก แล้วมีอีกชุดหนึ่งมาตอนกลางวันนะ มาตอนบ่าย พวกมาจากเมืองจันทร์ นั่นก็ศรัทธามาก ศรัทธานะ เพราะได้ยินจากเทปจากซีดี ศรัทธามากเลย แล้วก็บอกว่า ในเมื่อเราก็สบายอยู่แล้ว เราก็ยินดีอยู่แล้ว กิเลสเราก็รู้ทันมัน ทำไมต้องปฏิบัติล่ะ? ก็เพราะเขาไม่มีความทุกข์ เขาอยู่ของเขาได้

เราบอก เห็นไหมกิเลสมันหลอกๆ อย่างนี้ กิเลสมันหลอกอย่างนี้เพราะอะไร เพราะตอนนี้จิตเรายังดีนะ จิตเรายังดี เรายังมีความสุขอยู่เราก็ว่าสิ่งนี้กิเลสอยู่กับเรา เราคุมได้ ก็ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาหรอก แต่เวลามันเสียใจล่ะ? กิเลสเวลาจิตใจเราดี มันจะคุมได้ขนาดนี้ แต่ถ้าจิตใจเราอ่อนแอลงนะ มันเหยียบซ้ำเลยล่ะ มันเหยียบซ้ำนะ มันทำลายให้น้อยเนื้อต่ำใจ มันทำให้เราทุกข์มากเลย

ขณะที่จิตเราดี แต่กิเลสมันรู้ตัว มันแค่หลบหลีกไง ที่หลวงตาท่านพูด “กิเลสมันจะไปหาที่หลบซ่อน” ถ้าจิตเราดีนะ กิเลสมันหาที่หลบในใจเรา มันหลบมันซ่อนอยู่ มันสงบตัวอยู่ แต่ถ้าใจเราอ่อนแอนะ เหมือนเชื้อโรคเลย ถ้าร่างกายเราอ่อนแอ เชื้อโรคมันจะออกมาเต็มที่ของมันเลย แต่ตอนที่ร่างกายเราแข็งแรง เชื้อโรคมันไม่แสดงตัว เราก็ว่าไม่เป็นอะไรนะ โน่นก็ไม่เป็นไรเลย ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย

เราบอกนี่ความคิดอย่างนี้คิดแบบโลกๆ คิดโดยโลกๆ เพราะเอาโลกมาคิดไง คิดว่าเราเป็นคนดีแล้วทำไมต้องไปวัด อยู่บ้านก็เป็นคนดีแล้วไปวัดทำไม ไปวัดไปให้ทุกข์ให้ยากทำไม มันดีจริงหรือเปล่าล่ะ? มันดีไม่จริงหรอก เพราะอะไร มันดีประสาเราไง ดีเราคิดว่าดี แต่ความดีมันมีมากกว่านี้ใช่ไหม ดูสิ ลูกเรา เห็นไหม เราเกิดมา ถ้าสุขสบายเราก็ดีแล้ว เด็กถ้าเลี้ยงง่าย ไม่ออดไม่อ้อน พ่อแม่บอกเด็กนี้เลี้ยงง่าย เด็กดี แล้วมันเด็กดีให้มันนอนตลอดชีวิตได้ไหม เด็กมันต้องโตมา ต้องมีการศึกษา ต้องโตขึ้น ต้องรับผิดชอบ เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจเรามันดีอยู่ ดีอยู่อย่างนี้มันดีแบบเด็กๆ ไง แล้วถ้าดีกว่านี้มันเอาที่ไหนล่ะ? ดีกว่านี้เราก็ต้องแก้ไขใช่ไหม เราเป็นโรคอยู่ ถ้าเราไม่รักษาโรคเรา เราจะแก้ไขโรคเราอย่างไร มันมีมุมมองไง โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลยนะ คนที่โดนโลกธรรมที่รุนแรงที่สุดไม่มีเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขนาดลัทธิต่างๆ จ้างคนมาด่า จ้างคนมาอะไร เพราะมันมีการศรัทธา ความศรัทธาความน่าเชื่อถือ ต้องทำลายความน่าเชื่อถือ ทำลายกันตลอด ถ้าเป็นโลกมันมีการทำลายกัน

แต่เรื่องของโลกนะ มันมีขาวกับดำ ดีกับชั่ว แต่ธรรมะไม่มี ธรรมะมีหนึ่งเดียว

“ธรรมแท้ๆ ไม่ดีและชั่ว ข้ามพ้นดีและชั่ว”

ถ้าข้ามพ้นดีและชั่ว แล้วธรรมที่มันออกมาจากธรรม ออกมาจากไหน? ถ้ามันไม่ออกจากสิ่งที่เป็นกุศล ถ้าเป็นอกุศลมันออกมาเป็นอะไร? มันก็เป็นอธรรมสิ อธรรมแสดงออกมา ธรรมะมันก็ไม่มีเนื้อหาสาระสิ ถ้าธรรมะที่ไม่มีเนื้อหาสาระ ถ้าไม่มีพื้นฐานของธรรม ธรรมนี้ออกมาได้อย่างไร ธรรมะนี้ออกมาจากไหน ถ้ามันไม่พื้นฐานอันนี้มันจะออกมาจากไหน เพราะมันเป็นความไม่รู้ อวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ กิเลสมันก็ครอบงำอย่างนี้ เห็นไหม ครอบงำว่าเราเป็นคนดีนะ เราประพฤติปฏิบัติแล้ว พวกที่ไปเฝ้าเป็นอัตตกิลมถานุโยค ไปลำบาก ไปลำบาก

ลำบากอะไร คนเวลาไปหาหมอ หมอฉีดยาเจ็บไหม? หมอผ่าตัดเจ็บไหม? มันก็ต้องผ่าตัดเพื่อให้โรคหายใช่ไหม? อันนี้เรามาปฏิบัติกันมันก็ต้องมีการลงทุนลงแรงใช่ไหม นอนเฉยๆ ให้มันหายนะ ไม่ต้องฉีดยา ไปโรงพยาบาลแล้วไปถึงนอนโรงพยาบาลแล้วก็กลับเลย ไม่ต้องให้หมอรักษาเหรอ

นี่ก็เหมือนกัน เราไปประพฤติปฏิบัติเราก็ต้องลงทุนลงแรงใช่ไหม พอลงทุนลงแรงก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค มันเป็นความลำบาก ปฏิบัติธรรมก็ต้องมีความสุข ต้องนอนอยู่เฉยๆ มันไม่ใช่ ความคิดโลกมันเป็นอย่างนี้ มันทำให้พวกเรามือเท้าอ่อนหมดเลย เราไม่กล้าทำอะไรเลย แล้วไม่มีความมุมานะนะ

แต่ถ้าคนพวกที่ครูบาอาจารย์เราน่ะ เห็นไหม ความเพียรชอบ ความที่เป็นมรรค ความเพียรชอบ ความเพียรมาจากไหน? แล้วความเพียรที่เราทำเป็นความเพียรชอบไหม? ถ้าความเพียรชอบมันต้องเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าความเพียรชอบปัญญามันต้องเกิด ถ้าความเพียรชอบมันต้องเกิดมรรคญาณ

ความเพียรชอบไหม ความเพียรไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร ไม่ชอบเพราะกิเลสในใจเรามันบวกเข้ามา กิเลสในหัวใจเรามันเอาธรรมะมาตรึก ตรึกในธรรม พอตรึกในธรรม พอจิตมันได้สัมผัสธรรม มันก็ว่า “โอ๊ย มีความสุข” แค่ตรึกในธรรมมันยังมีความสุขขนาดนี้ เพราะกิเลสมันฉลาดกว่ามันก็หลบซ่อนอยู่ แต่ถ้าวันไหนกิเลสมันแข็งตัวขึ้นมา พอทำหัวใจเราอ่อนแอลง กิเลสมันออกมานะ โอ๊ย เราจะมา...

สังเกตได้ไหม ปัญญาชนจะเข้ามาในศาสนา ทุกคนจะบอกเลยนะ เข้ามาในศาสนานี่ โอ๊ย ศาสนานี่ประเสริฐมาก อยู่ซักปีสองปีนะ ธรรมะมันเกิด ธรรมะเกิดเพราะเราต้องออกไปช่วยโลก ถ้ามาอยู่ปฏิบัติอย่างนี้มันไม่ได้ช่วยโลก ต้องออกไปช่วยโลกช่วยสังคม เราต้องเป็นบุคคลสาธารณะ เราต้องช่วยโลก เห็นไหม นี่กิเลสมันชนะแล้ว แต่เวลามาหัดใหม่ๆ โอ้โฮ ธรรมะนี่สุดยอดๆ เลย สังเกตได้ ให้สัมภาษณ์กับสื่อประจำ มาบวช ๕ ปี ๑๐ ปีนะ โอย ได้ศึกษาธรรมแล้ว ธรรมบอกว่าต้องให้ออกไปช่วยสังคม

ไม่ใช่หรอก กิเลสมันขี่หัว กิเลสมันเหยียบย่ำ มันจะสึก มันจะออกไปหาสังคมนะ มันยังอ้างธรรมะอีกนะว่าธรรมะสอนมันให้ออกไปสังคม เวลากิเลสมันแข็งมันเจริญขึ้นมามันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่เราก็ยังตรึกในธรรม ตรึกในธรรมกันนะ เราไม่เข้าใจเลย แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะเห็นหมด เห็นหมดเลย เพราะกิเลสมันฉลาดกว่าเรา กิเลสมันอยู่เหนือความคิดเรา กิเลสอยู่หลังความคิดนะ

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา มารเอย มารเอย มารเอย เธอเกิดจากความดำริ”

ความคิดเกิดความดำริ ดำรินี่มันนี่มันมีอยู่ก่อนคิดอีก แล้วมารมันเกิดมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วมันขี่หัวความคิดออกมา แล้วมันคิดน่ะอะไรมันพาคิด ก็มารพาคิด กิเลสมันพาคิด มันไม่ได้ทำเลย ถ้าทำขึ้นมาเห็นไหม เวลาออกประพฤติปฏิบัติ เราไม่รับผิดชอบ เราไม่ชอบสังคม เอารัดเอาเปรียบ

เราบอกไม่จริง เอาเปรียบทำไมพระเวสสันดรสละลูกสละเมียอยู่ในป่าล่ะ ถ้าสละอย่างนี้ สละอย่างนี้เพื่ออะไร? สละเพื่อพระโพธิญาณ ถ้าคนที่รักครอบครัวมาก แล้วเขาทำร้ายครอบครัวเรากับทำร้ายเราแทน เราเอาอันไหน เราต้องเอาทำร้ายเราแทนใช่ไหม? แต่เขาไม่ยอมเอาเรานี่ เขาเอาลูกเอาเมีย แล้วสละไปมันเจ็บปวดไหม เพราะของสุดรักสุดหวง สุดถนอมรักษา แล้วเขากระชากไปจากหัวใจเจ็บปวดไหม ความเจ็บปวดอันนี้มันกระเทือนกิเลสไง

เวลาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหม เวลาออกจากราชวังมา ลูกคลอดแล้ว สามเณรราหุลเกิดแล้ว ไปดูหน้าลูกยังไม่กล้าไปดูเลย เพราะอะไร เพราะว่ากิเลสมันอยู่ในหัวใจ ไปดูเดี๋ยวมันใจอ่อน มันก็ต้องออกไปก่อน ออกไป ออกไปแล้วก็กลับมา ออกไปตัวเองเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา มาเอาพ่อ พ่อก็เป็นพระอรหันต์ ภรรยาก็เป็นพระอรหันต์ ลูกก็เป็นพระอรหันต์ แม่ขึ้นไปข้างบนเป็นพระอรหันต์ มันต้องมีการเริ่มต้น มันต้องมีการกระทำไง ต้องมีการลงทุนลงแรงไง ไม่ใช่ว่าเห็นคนจมน้ำ อยากช่วยเขาก็กระโดดลงไปเลย ก็ตายด้วยกันหมดน่ะสิ เห็นคนจมน้ำขึ้นมา คนมีสติ วิ่งไปหาเชือกมาก่อน โยนเชือกลงไปแล้วดึงเขาขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน อยู่ในโอฆะ อยู่ในสังคม อยู่ในวัฏสงสาร จะกอดคอกันตายอยู่นี่เหรอ ถ้ากอดคอกันตายมันก็ตายหมดอยู่นี่ มีใครคนหนึ่งฉลาด เห็นไหม สละตัวออกไปก่อน ไปหามรรคผล ไปหามรรคญาณขึ้นมาจากหัวใจ พอได้อริยสัจขึ้นมา เห็นไหม เอาอริยสัจนี้มาเผื่อแผ่ มาเจือจาน รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้องค์เดียวมหาศาลเลย ตั้งแต่พรหมลงมาสอนได้หมดเลย ในสามโลกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นอาจารย์สอนหมดเลย

ถ้าเราจะเสียสละกิเลสมันปิดกั้นไง คนจะออกมาแสวงหาวิชาการ แสวงหาความจริง ออกมาเพื่อจุนเจือโลกมันก็คัดค้าน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วประพฤติปฏิบัติได้ชั่วคราว ได้ธรรมะแล้วต้องออกไปช่วยโลก ช่วยโลกเอาอะไรไปช่วย มึงตายหมดน่ะ ออกไปก็ออกไปตาย เกิด แก่ เจ็บ ตายไง ออกไปก็ออกไปตาย ตัวเองก็ต้องออกไปตาย ไปทุกข์ไปทรมานอยู่นั่น แล้วไปช่วยโลกช่วยได้ไหม? มันไปเป็นขี้ข้าโลกต่างหาก มันไปยอมจำนนต่อโลกไง มันเอาหัวไปจำนนต่อกิเลสไง แล้วยังอ้างธรรมะว่าจะเหนือโลก เหนือโลก มันเหนือโลกไปไม่ได้หรอก สิ่งที่เหนือโลกไปไม่ได้

ความคิดของเขา ทำไมต้องไปวัด ทำไมต้องไปวัด แล้วไปวัดขึ้นมา ไปวัดคือวัดใจ ข้อวัตรคือวัดใจ กติกาของวัดคือข้อวัตร ข้อวัตรเราทำได้ไหม คนเราพอมันคุ้นเคยไปไง ใหม่ๆ ทำได้ทั้งนั้น พอคุ้นเคยไปกิเลสมันตามทัน พอตามทันนั่นก็ไม่จำเป็น นี่ก็ไม่จำเป็น นั่นก็ไม่ต้องทำ

แล้วกิเลสมันจำเป็นไหม? กิเลสมันจำเป็นหรือเปล่า? เอากิเลสขี่หัวมันจำเป็นไหม? เพราะไม่ทันกิเลส กิเลสมันขี่หัวเอาไง มันจำเป็นทั้งนั้น จำเป็นเพราะขัดเกลากิเลส ขัดเกลาไง การกระทำคือขัดเกลา คือโต้แย้งความคิด ความคิดน่ะกิเลสมันอาศัยออกมาหาเหยื่อ แล้วพอธรรมะมันตามเข้าไป มันไม่ต้องการสิ่งใดให้ทำ มันปรารถนาที่จะเอาความสุขสบาย ไม่เอาให้มัน

ครูบาอาจารย์ เห็นไหม บิณฑบาตมา ได้อะไรมาของที่ถูกใจโยนเข้าป่าเลย ไม่กิน เพราะอะไร กิเลสมันกินก่อน กิเลสมันกินก่อน มันอยาก ความอยากความต้องการมันกินก่อนแล้ว เรายังไม่ได้เอาอาหารใส่ปากเลย กิเลสมันกินอิ่มไปแล้ว แต่ถ้าเราโยนเข้าป่าเลย กินข้าวเปล่า ดัดแปลงกิเลส การดัดแปลง การต่อสู้ มันต้องมีสิ แล้วบอกทำอย่างนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยค ก็มันต่อสู้กับกิเลส

นักกีฬาเขาซ้อมเขายังออกเหงื่อเลย เวลาเขาขึ้นแข่งขันนะเขายิ่งมีคู่ต่อสู้ ยิ่งหนักกว่านั้นอีก แล้วกิเลสในหัวใจเรา ธรรมะก็ไม่เกิด ธรรมะก็ไม่รู้จัก ธรรมะเป็นอย่างไร เห็นไหม ให้สงบเสงี่ยม ให้เรียบร้อยไปนี่คือธรรมะ ก้อนหินก็เป็นธรรมะ พระพุทธรูปก็เป็นธรรมะหมดแล้ว พระขยับไม่ได้เลย ขยับมาเป็นกิเลสหมด การแสดงออกเป็นกิเลสหมด

ก็เวลามันทุกข์ขึ้นมา กิเลสมันอยู่ไหนล่ะ? มันน้ำสะอาด น้ำจะชะล้างมันก็ต้องมีการกระทำ การกระทำให้มันเป็นมรรคเป็นผล เป็นมรรคเป็นผลนี่ไง ต่อไปมันจะทำอะไรไม่ได้เลยนะ ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนแล้วค่อยมาพูด อะไรก็ต้องให้นุ่มนวลไว้ก่อน ทุกอย่างทำดีทำชั่วก็หลับหูหลับตากันไป ตามกระแสกันไป

กระแสนั้นมันจริงหรือเปล่าล่ะ? ทำไมไม่หาเหตุหาผล ถ้าหาเหตุหาผล มันเป็นอย่างนั้นเพราะเหตุใด? ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น? มืดคู่กับสว่าง ชั่วคู่กับดี มันชั่วหรือมันดี ถ้ามันดีมันทำอย่างนั้นไหม? ทำอย่างนี้เป็นความดีเหรอ ความดี ความดีเหนือโลก ดีๆ อย่างไร ความที่สุดมันต้องมีของมันสิ ความดีความชั่วมันต้องมีของมัน ถ้ามีสติมีสัมปชัญญะ

เวลาพูดถึงเราบอกเขาไปหมดเลย นี่มันอยู่ที่เชาวน์ปัญญาของคนนะ เชาวน์ปัญญาหมายถึงอินทรีย์ หมายถึงพละ หมายถึงกำลังของใจ ถ้าใจคนสร้างกุศลมามันมองแล้วมันคิดเป็น แต่คนมันไม่สร้างมามันเป็นวิตกจริต มันเป็นเหยื่อ ใครปล่อยข่าวอะไรก็เชื่อ ใครจูงจมูกก็วิ่งตามเขาไปเลย เขาไม่จูงก็เอาจมูกไปให้เขาจูง เอาจมูก เกี่ยวหน่อย เกี่ยวหน่อย ขอเข้ากระแสนิดนึง นี่มันไม่มีวุฒิภาวะ ใจมันอ่อนแอ พอใจมันอ่อน มันก็ไม่เข้าใจอะไรผิดอะไรถูกเลย มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น หลอกก็หลอก โลกนี่หลอกก็หลอกตลอดเลย แล้วความจริงมันก็เป็นความหลอกๆ แล้วสังคมกระแสก็ปั่นกัน โอ้โฮ สุดยอดๆ คนพูดความจริงกลายเป็นคนบ้านะ คนจริงกลายเป็นคนบ้า

ธรรมะมันเป็นอย่างนี้ ถึงไม่มีใครอยากปฏิบัติธรรม หรือไม่มีใครยืนอยู่กับความจริง เห็นไหม ไปตามกระแสนะ โอ๊ย สังคมนี้เยอะกว่า ไปกับเขาสะดวกด้วย ได้ผลประโยชน์ด้วย ได้ชื่อเสียงเกียรติคุณด้วย ไอ้พวกนั้นไอ้พวกขี้ครอก ไอ้พวกลำบากอยู่นั่นน่ะ

ลำบากเอาชนะตัวเองนะ มันเห็นจริงของเรา ไม่มีหรอก ความลับไม่มีในโลก เรานี่รู้ คนกระทำนี่รู้ คนพูดก็รู้ คนปล่อยข่าวก็รู้ ใครทำนะรู้หมด เพียงแต่ว่าด้วยความโลภ ด้วยความอยากให้เขาเชื่อถือ ด้วยความต้องการของเขา แต่ถ้าเป็นความจริงนะ อยู่โคนไม้ก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ เป็นความจริง ความจริงคือความจริง แล้วความจริงเหนือโลก ความจริงไม่เคยตาย แต่คนพูดความจริงตายก่อน ความจริงไม่เคยตาย แล้วจะอยู่กับความจริงไม่เคยตาย ความจริงไม่เคยตาย แต่คนพูดตายแล้วตายอีก แล้วเราก็จะตายไปเรื่อยๆ ถึงที่สุดนะมันก็จะมีหลักมีเกณฑ์ของมัน เราต้องมีหลักมีเกณฑ์ แล้วต้องอยู่กับความจริง เราพูดประจำเวลาพระมาหรือหมู่คณะมา

“ธรรมะกับอธรรม มึงจะยืนอยู่ตรงไหน?” เท่านั้นล่ะ แล้วไปคิดเอาเอง

“ธรรมะกับอธรรม ถ้ามึงอยู่ฝ่ายธรรมะ มึงจะต้องโดนแรงเสียดสี ถ้ามึงฝ่ายอธรรม... เพราะอธรรมมันไปกันได้อยู่แล้ว นั้นเวลาคุยกันน่ะ ธรรมะกับอธรรม มึงเลือกเอา” เอวัง